ไฟเตือนหน้าปัดรถ แต่ละสัญลักษณ์บ่งบอกถึงอะไรบ้าง

สัญญาณ ไฟเตือนหน้าปัดรถ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบ่งบอกแจ้งเตือนการทำงานของรถ และบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในขณะที่ขับขี่ผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ดังนั้นหากใครเพิ่งขับรถเป็น หรือยังไม่รู้ว่าหากไฟแสดงขึ้นมีความหมายว่าอย่างไร เราจึงมาไขข้อสงสัยให้ดังต่อไปนี้

 ไฟเตือนหน้าปัดรถ แบ่งเป็น 3 ระดับ

ไฟสีแดง หมายถึง อันตราย ต้องจอดรถเพื่อตรวจสอบตามที่สัญลักษณ์ปรากฏขึ้น

ไฟสีเหลือง หมายถึง เป็นสัญญาณเตือน แต่ก็ยังขับขี่ได้ปกติ เช่น น้ำมันรถใกล้หมด

ไฟสีเขียว หมายถึง กำลังใช้ระบบนั้น ๆ เช่น ไฟเลี้ยว หรือไฟขอทาง

ไฟเตือนหน้าปัดรถ บอกอะไรบ้าง

ไฟเตือนระบบเบรก – อาจจะไม่ได้เอาเบรกมือลง หรือลงไม่สุด หากเอาลงสุดแล้วไฟยังขึ้นอยู่เป็นไปได้ว่า อาจจะมีปัญหาที่น้ำมันเบรก รวมไปถึงระบบล้อ

ไฟเตือนแบตเตอรี่ – เป็นไปได้ว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด หรือไดชาร์จไม่ทำงาน

ไฟเตือนหน้าปัดรถ ระบบล็อกล้ออัตโนมัติ (ABS) – เป็นเพราะระบบล็อกล้อไม่ทำงาน หรือทำงานผิดปกติ ถึงแม้การเบรกจะทำงานได้ปกติ แต่หากเบรกกะทันหัน ระบบ ABS อาจจะไม่ทำงาน

ไฟเตือนถุงลมนิรภัย – เป็นไปได้ว่าระบบภายในรถอาจมีปัญหา หากเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยอาจไม่ทำงาน

ไฟเตือนอุณหภูมิเครื่องยนต์ – แสดงว่าเครื่องร้อนเกินไป ควรรีบจอดแล้วดับเครื่องยนต์ รอจนเครื่องยนต์เย็นลง แล้วให้เช็กระดับน้ำในหม้อน้ำ

ไฟเตือนการควบคุมการทรงตัว – เป็นการแจ้งเตือนว่าระบบการทรงตัวถูกปิดไว้ หากรถเสียหลักระบบจะไม่สามารถช่วยได้ แต่หากไฟกะพริบระหว่างฝนตกถนนลื่นแสดงว่าระบบกำลังทำงานทำให้ปลอดภัยมากขึ้น

ไฟเตือนพวงมาลัยไฟฟ้า – บอกว่าพวงมาลัยกำลังเกิดปัญหา อาจจะทำให้การควรคุมผิดปกติ ดังนั้นควรรับเข้าศูนย์ หรือใช้บริการรถยก จะปลอดภัยที่สุด

ไฟเตือนประตูรถ – ปิดประตูไม่สนิท ให้ลองปิดใหม่อีกครั้ง

สัญลักษณ์ไฟหน้า – โดยปกติเมื่อเปิดไฟหน้า หน้าปัดจะแสดงสัญลักษณ์เป็นสีเขียว แต่เป็นสีน้ำเงินแสดงว่ากำลังเปิดไฟสูง

ไฟเตือนหน้าปัดรถ ระบบเครื่องยนต์ – หากมีไฟรูปเครื่องยนต์ขึ้นแต่ไม่ยอมดับ เครื่องยนต์กำลังมีปัญหาสามารถบ่งบอกความผิดปกติได้หลายอย่าง ให้รีบนำไปตรวจเช็ก

ไฟเตือนน้ำมันเครื่อง – บ่งบอกว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับต่ำเกินไป ให้รีบจอดแล้วตรวจสอบทันที หากยังอยู่ในระดับที่ปกติ อาจจะเป็นได้ว่ามีการอุดตันในบางจุด ให้รับซ่อมทันที

ดังนั้นหาก ไฟเตือนหน้าปัดรถ ส่งสัญญาณออกมาก็อย่าได้นิ่งนอนใจเพราะเป็นการบ่งบอกว่ารถกำลังมีปัญหาควรรีบนำไปตรวจเช็ก และซ่อมหากปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนักอาจจะต้องเสียค่าซ่อมเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญการขับขี่ก็ไม่ปลอด จะมีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุมากขึ้นอีกด้วย